เคลือบฟลูออไรด์แบบวาร์นิชและแบบเจล: ความแตกต่างที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

การเคลือบฟลูออไรด์เป็นวิธีป้องกันฟันผุที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ ที่มีความเสี่ยง ทันตแพทย์มักแนะนำการเคลือบฟลูออไรด์ในรูปแบบต่างๆ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือแบบวาร์นิชและแบบเจล วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการเคลือบฟลูออไรด์ทั้งสองแบบนี้

วาร์นิชฟลูออไรด์ คือสารเคลือบข้นที่ทันตแพทย์ทาลงบนผิวฟันโดยตรง มีลักษณะคล้ายเรซินที่มีความเหนียว เมื่อสัมผัสกับน้ำลายจะแข็งตัวและยึดติดกับผิวฟันได้นาน

ข้อดีของฟลูออไรด์แบบวาร์นิช

  1. ติดอยู่บนผิวฟันได้นานกว่า – เคลือบติดฟันได้นานถึง 24 ชั่วโมงหรือมากกว่า ทำให้ฟลูออไรด์ซึมเข้าสู่ผิวเคลือบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ความเข้มข้นสูง – มักมีความเข้มข้นของฟลูออไรด์ประมาณ 22,600 ppm
  3. ใช้ง่ายและรวดเร็ว – ใช้เวลาในการทาเพียง 1-2 นาที ไม่ต้องใช้ถาดครอบฟัน
  4. ความเสี่ยงต่อการกลืนต่ำ – เนื่องจากปริมาณที่ใช้น้อยและเกาะติดฟันทันที
  5. เหมาะสำหรับเด็กเล็ก – แม้แต่เด็กอายุ 1-2 ขวบก็สามารถรับการเคลือบได้อย่างปลอดภัย
  6. เหมาะกับเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือ – ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องคาบถาดยาง

ข้อควรระวังหลังเคลือบวาร์นิช

  • หลังจากเคลือบวาร์นิช ฟันอาจจะมีสีเหลืองหรือสีน้ำตาลชั่วคราว (จะหายไปเมื่อแปรงฟันในวันถัดไป)
  • ควรงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 30 นาที – 2 ชั่วโมง (ตามคำแนะนำของทันตแพทย์)
  • ไม่ควรแปรงฟันในวันนั้น หากได้รับการเคลือบในช่วงเย็น

เจลฟลูออไรด์ เป็นสารกึ่งเหลวที่ทันตแพทย์ใส่ในถาดครอบฟันแล้วให้ผู้ป่วยกัดเป็นเวลาประมาณ 1-4 นาที

ข้อดีของฟลูออไรด์แบบเจล

  1. คลุมพื้นผิวฟันได้ทั่วถึง – เจลสามารถแทรกซึมเข้าไปในซอกฟันและบริเวณที่เข้าถึงยากได้ดี
  2. มีให้เลือกหลายรสชาติ – ทำให้เด็กรู้สึกสบายและให้ความร่วมมือมากขึ้น
  3. มีความเข้มข้นสูง – มักมีความเข้มข้นของฟลูออไรด์ประมาณ 12,300 ppm
  4. มีราคาถูกกว่า – โดยทั่วไปมีต้นทุนต่ำกว่าวาร์นิช

ข้อควรระวังของฟลูออไรด์แบบเจล

  • มีโอกาสกลืนเจลมากกว่า ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
  • ไม่เหมาะกับเด็กเล็กที่ควบคุมการกลืนไม่ดี (ไม่แนะนำในเด็กอายุต่ำกว่า 3-4 ปี)
  • ต้องใช้เครื่องดูดน้ำลายระหว่างทำ
  • ต้องงดอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 30 นาทีหลังการเคลือบ

เหมาะสำหรับเด็กวัยต่างๆ

  • เด็กอายุ 0-3 ปี: วาร์นิชเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะใช้เวลาน้อยและมีความเสี่ยงในการกลืนต่ำ
  • เด็กอายุ 3-6 ปี: ทั้งสองแบบใช้ได้ แต่วาร์นิชยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือ
  • เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป: สามารถใช้ได้ทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและการให้ความร่วมมือ

ประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ

จากการศึกษาวิจัย พบว่าทั้งวาร์นิชและเจลมีประสิทธิภาพในการลดการเกิดฟันผุ แต่วาร์นิชได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจาก:

  • ติดอยู่บนผิวฟันได้นานกว่า
  • ใช้ง่ายกว่าโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
  • มีความปลอดภัยสูงกว่าเพราะมีโอกาสกลืนน้อย

กรณีพิเศษ: เด็กที่จัดฟัน

สำหรับเด็กที่กำลังจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็น Invisalign หรือเหล็กดัดฟัน ทันตแพทย์มักแนะนำการใช้:

  • วาร์นิชฟลูออไรด์: สามารถทาเฉพาะจุดที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รอบๆ bracket ของเหล็กดัดฟัน
  • เจลฟลูออไรด์: อาจใช้กับถาดพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับคนที่จัดฟัน

ที่คลินิกทันตกรรม Tiny Smile เรามีบริการเคลือบฟลูออไรด์ทั้งแบบวาร์นิชและแบบเจล โดยทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านเด็กที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี เราจะประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุของลูกคุณและให้คำแนะนำว่าวิธีไหนเหมาะสมที่สุด

สำหรับเด็กที่กำลังจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็น Invisalign First หรือจัดฟันแบบดั้งเดิม เรามีโปรแกรมการดูแลพิเศษเพื่อป้องกันการเกิดรอยขาวบนฟัน (White Spot Lesions) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กที่จัดฟัน

การเคลือบฟลูออไรด์ทั้งแบบวาร์นิชและแบบเจลมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุของเด็ก การให้ความร่วมมือ และความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ

เพื่อสุขภาพฟันที่ดีของลูกน้อย คุณควรพาลูกไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อรับการเคลือบฟลูออไรด์และการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างครบวงจร

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลือบฟลูออไรด์หรือต้องการปรึกษาเรื่องสุขภาพฟันของลูก สามารถติดต่อ Tiny Smile Dental ได้ที่

LINE OA: @tinysmile

โทร: 092-241-9936

เรายินดีให้คำปรึกษาและดูแลรอยยิ้มของลูกน้อยให้สวยงามและมีสุขภาพดี

หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “เคลือบฟลูออไรด์”