รู้หรือไม่? อาหารที่ทำให้ฟันผุมีอะไรบ้าง – ข้อมูลสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่

ฟันผุ เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยที่สุดในเด็กไทย โดยเฉพาะในช่วงวัย 6-20 ปี ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการเปลี่ยนจากฟันน้ำนมเป็นฟันแท้ คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจไม่ทราบว่าอาหารที่ลูกรับประทานทุกวันอาจเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฟันผุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความมั่นใจของลูกในระยะยาว

ฟันผุ ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เมื่อแบคทีเรียในช่องปากย่อยสลายน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตจากอาหาร แบคทีเรียเหล่านี้จะผลิตกรดที่ทำลายแร่ธาตุในชั้นเคลือบฟัน เมื่อเวลาผ่านไป กรดเหล่านี้จะสร้างรูเล็กๆ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ฟันผุ

น่าเป็นห่วงใช่ไหมล่ะ? แต่ข่าวดีก็คือ การเกิดฟันผุสามารถป้องกันได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาด และการดูแลช่องปากที่ถูกวิธี

ลูกอม ขนมเคี้ยวหนึบ และขนมหวานรสเปรี้ยวเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ นอกจากมีน้ำตาลสูงแล้ว ขนมเหล่านี้ยังติดฟันนาน ให้เวลาแบคทีเรียผลิตกรดได้ต่อเนื่อง และถ้าเป็นรสเปรี้ยว ความเป็นกรดยิ่งเพิ่มการกัดกร่อนเคลือบฟันอีกเท่าตัว

น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง และเครื่องดื่มรสหวานอื่นๆ มีทั้งน้ำตาลสูงและความเป็นกรด ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของการทำลายฟัน เมื่อเด็กดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ น้ำตาลจะเป็นอาหารของแบคทีเรีย ขณะที่กรดจะกัดกร่อนชั้นเคลือบฟันโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุอย่างมาก

ขนมกรุบกรอบหลายชนิดมีแป้งและคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยสลายเป็นน้ำตาลในปาก อีกทั้งยังมักเข้าไปติดตามซอกฟัน ยากต่อการทำความสะอาด กลายเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุได้ง่าย

คุกกี้ เค้ก โดนัท และขนมหวานประเภทแป้ง นอกจากจะมีน้ำตาลสูงแล้ว ยังมีแป้งที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลในปาก อีกทั้งยังมักเหนียวติดฟัน ทำให้เศษอาหารค้างตามซอกฟันนาน เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุ

แม้น้ำผึ้งจะเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติ แต่สำหรับฟันแล้ว น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมก็ยังคงเป็นน้ำตาลที่แบคทีเรียสามารถใช้ผลิตกรดได้ ซอสต่างๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสบาร์บีคิว มักมีน้ำตาลซ่อนอยู่สูง และติดฟันได้ง่าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ

ผลไม้แห้งเช่น ลูกเกด พรุน และผลไม้กวนต่างๆ แม้จะดูเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ แต่มีความหวานเข้มข้นและเหนียวติดฟันมาก ทำให้น้ำตาลค้างอยู่บนฟันเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดฟันผุอย่างมาก

ผลิตภัณฑ์นมรสหวานและโยเกิร์ตปรุงแต่งรสมักมีน้ำตาลเติมในปริมาณสูง แม้จะมีแคลเซียมที่ดีต่อฟัน แต่น้ำตาลที่เติมลงไปก็สามารถก่อให้เกิดฟันผุได้ โดยเฉพาะเมื่อเด็กดื่มหรือทานก่อนนอนโดยไม่แปรงฟัน

หลายคนเข้าใจผิดว่าน้ำผลไม้ 100% เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้ว น้ำผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติในปริมาณสูงและมักมีความเป็นกรด ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ โดยเฉพาะเมื่อเด็กจิบน้ำผลไม้บ่อยๆ ตลอดวัน

เครื่องดื่มเหล่านี้มักมีน้ำตาลในปริมาณสูง และหากเด็กหรือวัยรุ่นดื่มเป็นประจำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ นอกจากนี้ ชาและกาแฟยังอาจทำให้ฟันเปลี่ยนสี ส่งผลต่อความมั่นใจในรอยยิ้มของลูกในระยะยาว

ชอคโกแลตมีน้ำตาลสูงและมักละลายช้าในปาก ทำให้น้ำตาลค้างอยู่บนฟันเป็นเวลานาน ยิ่งถ้าเป็นชอคโกแลตที่มีส่วนผสมของคาราเมล น้ำตาล หรือส่วนผสมเหนียวอื่นๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุมากขึ้นไปอีก

การเกิดฟันผุไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง:

1. ความถี่ในการรับประทาน

การกินจุบจิบบ่อยๆ ตลอดวันทำให้ฟันสัมผัสกับน้ำตาลอยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่วงพักให้น้ำลายได้ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างในช่องปาก ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุเพิ่มขึ้นอย่างมาก

2. ช่วงเวลาที่รับประทาน

การรับประทานขนมหวานก่อนนอนโดยไม่แปรงฟันเป็นอันตรายมาก เพราะตอนกลางคืนการผลิตน้ำลายลดลง ทำให้แบคทีเรียมีเวลาทั้งคืนในการผลิตกรดที่ทำให้เกิดฟันผุ

3. การดื่มน้ำตามหลังอาหารหวาน

การดื่มน้ำเปล่าทันทีหลังรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงช่วยชะล้างน้ำตาลออกจากช่องปากได้บางส่วน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ ในทางกลับกัน หากไม่ดื่มน้ำตาม น้ำตาลจะค้างอยู่ในช่องปากนานขึ้น

การสังเกตสัญญาณเริ่มต้นของฟันผุช่วยให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามรุนแรง สัญญาณที่ควรสังเกต ได้แก่:

  1. จุดขาวขุ่นบนฟัน – ระยะเริ่มต้นของฟันผุมักปรากฏเป็นจุดขาวขุ่น
  2. รอยดำหรือสีน้ำตาลบนฟัน – เมื่อฟันผุลุกลามมากขึ้น จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือดำ
  3. ความไวต่อความร้อน-เย็น หรือหวาน – เด็กอาจรู้สึกเสียวฟันเมื่อกินของหวาน เปรี้ยว หรืออาหารร้อน-เย็น
  4. ปวดฟันเมื่อกดเคี้ยวอาหาร – เมื่อฟันผุลุกลามลึก อาจเกิดอาการปวดเมื่อมีแรงกดบนฟัน
  5. เห็นรูหรือโพรงบนฟัน – ในกรณีที่ฟันผุรุนแรง จะสังเกตเห็นรูหรือโพรงได้ด้วยตาเปล่า
  6. กลิ่นปากไม่พึงประสงค์ – ฟันผุที่มีการติดเชื้ออาจทำให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์

หากตรวจพบฟันผุในเด็ก การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการผุ:

1. ฟันผุระยะเริ่มต้น

  • การใช้ฟลูออไรด์เข้มข้นเพื่อช่วยฟื้นฟูแร่ธาตุให้กับเคลือบฟัน
  • การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดูแลช่องปาก

2. ฟันผุระยะกลาง

  • การอุดฟันด้วยวัสดุที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ทั้งวัสดุสีเหมือนฟันหรือโลหะผสม

3. ฟันผุระยะรุนแรง

  • การรักษารากฟันในกรณีที่ฟันผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน
  • การครอบฟันเพื่อป้องกันการแตกหักและการผุเพิ่มเติม
  • การถอนฟันในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ ซึ่งอาจตามมาด้วยการใส่เครื่องมือรักษาช่องว่าง (Space maintainer) เพื่อรอการขึ้นของฟันแท้

ที่ Tiny Smile Dental เราเข้าใจดีว่าการป้องกันและรักษาฟันผุในเด็กเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและความมั่นใจในระยะยาว ด้วยทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านเด็กและทันตแพทย์จัดฟันที่ทำงานร่วมกัน เราสามารถดูแลสุขภาพช่องปากของลูกคุณแบบครบวงจร

บริการของเราเพื่อป้องกันและรักษาฟันผุ:

  • การตรวจสุขภาพช่องปากเชิงป้องกัน – ตรวจ ทำความสะอาด ขูดหินปูน และให้คำแนะนำการดูแลช่องปากที่เหมาะสมตามวัย
  • บริการเคลือบฟลูออไรด์ – เสริมความแข็งแรงให้กับเคลือบฟัน ป้องกันฟันผุ
  • การเคลือบหลุมร่องฟัน – ป้องกันฟันผุในฟันกรามซึ่งมีร่องลึกและเสี่ยงต่อการเกิด

การดูแลป้องกันฟันผุเป็นก้าวสำคัญในการสร้างรากฐานสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับลูก ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในอนาคต แต่ยังช่วยให้ลูกมีรอยยิ้มที่สวยงามและมั่นใจ

Tiny Smile Dental พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรอยยิ้มของลูกคุณ ด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบริการทันตกรรมที่ครอบคลุม ตั้งแต่การป้องกันฟันผุ ไปจนถึงการจัดฟันที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

ติดต่อ Tiny Smile Dental

  • 📞โทร: 092-241-9936
  • LINE Official Account: @tinysmile
  • 🌐Website: www.tinysmiledental.com
  • Facebook: tinysmiledental

“เพราะที่ Tiny Smile เราไม่ได้แค่สร้างฟันที่สวย แต่เราสร้างความมั่นใจที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต”